วันอาทิตย์ที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2556

Concept หลัก ของ DHS คือ U CARE

Untitled Document

Concept หลัก ของ DHS คือ U CARE
            U: Unity (รพ. และ สสอ.รวมเป็นหนึ่งเดียวกัน )
            C: Community ยึดชุมชนเป็นศูนย์กลางการทำงาน
            A: Appreciation  ผ่านกระบวนการชื่นชม ยกย่องให้เกียรติ เสริมกำลังใจให้กันและกัน
            R: Resource sharing       การพัฒนาร่วมกันที่มีการแบ่งบันทรัพยากรร่วมกัน
            E: Essential Care เน้นสิ่งที่เป็นปัญหาสุขภาพ ในบริบทของพื้นที่
อย่าให้ DHSเป็น NATO (No Action Talk Only) หรือ
อย่าให้ DHSเป็นNAMO (No Action Meeting Only)
One District One Project:ODOP นั้น เป็นกระบวนการทำงานร่วมกัน ไม่ต้องไปกังวลว่า จะสำเร็จ หรือล้มเหลว ผ่านหรือไม่ผ่าน แต่ที่สำคัญคือ มีกระบวนการเรียนรู้และพัฒนาร่วมกัน Learning&Growth ทำไป ปรับไป PDCA ไปเรื่อยๆ เน้น การพัฒนาอย่างต่อเนื่อง โดยสหสาขาอาชีพ ที่ไม่ใช่ เพียง สหวิชาชีพ ในวงการแพทย์และสาธารณสุขเท่านั้น
            ODOP ที่ดี ของ DHS ต้อง มีองค์ประกอบ ครบ 3 I
I: Information ต้อง มี Information เป็น ตัว Base on ของปัญหา หรือ มี นโยบาย เป็นตัวกำกับ หากไม่มีต้องทำR2Rหาปัญหาออกมา ร่วมกัน
I: Innovation   ต้อง มี Innovation           ที่สามารถ ขายได้ และ สามารถทำได้จริง
I: Intervention ต้อง มี Intervention ที่สำคัญ ODOP นั้น ไม่สามารถเสร็จสิ้นได้ ปีต่อปี ต้องทำอย่างจริงจัง และต่อเนื่อง ทำไป ปรับไป
            ที่ว่า DHS เป็นส่วนหนึ่งของ Service Plan นั้น ก็เพราะ Service Plan มี การพัฒนาครอบคลุม ทั้ง 3 ด้าน
ด้านที่ 1  ด้านการแพทย์ หรือ ด้านการรักษาพยาบาล
            เน้นการพัฒนา ตามศักยภาพด้านการรักษาพยาบาล ของ เขต หรือ เครือข่ายบริการ ทั้ง 12 เขต
            ที่แต่ละเขต มี Population for Performance หรือ พอเหมาะๆ ไม่มาก หรือ น้อยเกินไป ที่จะ ช่วยเหลือ กันเองได้ ภายในเขต โดยประชากรที่ พอเหมาะนี้ ประมาณ 3-5 ล้านคน ต่อเขตบริการ
ด้านที่ 2  ด้านการสาธารณสุข หรือ ด้านการป้องกันโรคและส่งเสริมสุขภาพ หรือP&P
            แนวคิดหลักคือ ทำอย่างไร ไม่ให้ป่วย จุดแตกหัก ของแนวรบด้านการป้องกันและส่งเสริมสุขภาพ อยู่ที่ระดับ อำเภอ โดย เอา คปสอ. บวกกับ ภาคประชาสังคมอื่นๆ ที่เรียกว่า Social Determinant ทำงานร่วมกัน เป้าหมายหลักการทำงานด้านนี้คือ ส่งเสริม สนับสนุน ให้ ประชาชนสามารถพึ่งตนเองได้ ไม่ทอดทิ้งกัน   โดยมี การพัฒนา เครือข่ายบริการปฐมภูมิ ให้เป็น สถานบริการที่ ประชาชน ไว้วางใจได้
ด้านที่ 3  ด้านการบริหารจัดการ  แนวคิดหลัก คือ ใช้เงินน้อย แต่ได้ผลงานมาก หรือประโยชน์สูง ประหยัดสุด
            เครื่องมือ อุปกรณ์ ต้องเป็น เครื่องมือ อุปกรณ์ ของประชาชน ไม่ใช่ เครื่องมือ อุปกรณ์ ของ โรงพยาบาลแห่งใดแห่งหนึ่ง เครื่องมือ อุปกรณ์บางอย่าง ต้องสามารถใช้ร่วมกันได้ ในระดับ อำเภอ จึงจะคุ้มค่า
เครื่องมือ อุปกรณ์บางอย่าง ต้องสามารถใช้ร่วมกันได้ ในระดับ จังหวัด  จึงจะคุ้มค่า
เครื่องมือ อุปกรณ์บางอย่าง ต้องสามารถใช้ร่วมกันได้ ในระดับ เขต  จึงจะคุ้มค่า
เช่น รถยนต์ ยานพาหนะ เครื่องมือแพทย์ สามารถใช้ร่วมกันได้ ในระดับอำเภอ จึงจะคุ้มค่า
เช่น เครื่องมือ การตรวจ ตา สามารถใช้ร่วมกันได้ทั้งจังหวัดจึงจะคุ้มค่า
เช่น เครื่องมือ การ Mammogram สามารถใช้ร่วมกันได้ทั้ง เขต จึงจะคุ้มค่าเป็นต้น
            โดย เมื่อรวม ทั้ง 3 ด้านแล้ว ผลลัพธ์ ในระยะยาว ที่มุ่งหวัง คือ การมีอายุยืนยาว และการมีคุณภาพชีวิตที่ดี หรือ 3 ดี ที่พวกเราคุ้นเคย คือ สุขภาพดี เป็นคนดี และ มีรายได้พอดี ซึ่งเป็น เป้าหมาย หลัก ของ DHS

วันพฤหัสบดีที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2556

การทำงานด้วยหัวใจที่เป็นสุข หรือ ความสุขเกิดได้เมื่อเข้าใจใช้สมอง

ความรู้ใหม่ เกี่ยวกับสมอง

ความรู้ใหม่ เกี่ยวกับสมอง
1.     เซลล์สมองสามารถงอกใหม่(Neurogenesis , Fred Gage 1998 )
2.     สมองเปลี่ยนแปลงได้ (Neuroplasticity) สมองปรับวงจรใหม่ได้ (Rewire)เช่น คนตาบอด ศูนย์การเห็นเปลี่ยนเป็นการสัมผัส -การได้ยิน
แต่ข้อสำคัญ สิ่งที่สามารถให้สมองงอกใหม่ได้ นั้น ส่วนมาก เป็น พฤติกรรม เชิงบวกด้านคุณธรรมและศีลธรรม หากใครมีมาก ก็จะงอกใหม่ได้มาก
เช่น การเรียนรู้ ใหม่ การคิดสร้างสรรค์ ความเห็นอกเห็นใจ อื่น การฝึกทักษะ กีฬา ดนตรี
( แม้แต่การจินตนาการ ) การกระต้นด้วยการบริหารกาย การบริหารจิต การคิดสร้างสรรค์ การนอนหลับพักผ่อน
ความรู้เดิมเกี่ยวกับสมอง
สมองมนุษย์ ประกอบด้วย 3 ส่วน: วิวัฒนาการจากสัตว์สู่มนุษย์ (Paul MacLean , 1967)
1. สมองส่วนหลัง (Hindbrain) หรือ “สมองตะกวด”
2. สมองส่วนกลาง (Midbrain) หรือ “สมองสุนัข” “สมองหมา”
3. สมองส่วนหน้า (Fore brain / Prefrontal Neocortex) “สมองมนุษย์”
ส่วนที่ 1.สมองส่วนหลัง /ก้านสมอง : เป็นการใช้สมองในระดับ สัตว์เลื้อยคลาน(Reptile)
- สัญญาณชีพ: การหายใจ การเต้นของหัวใจ ระดับCO2ในเลือด
-การหลับ –การตื่น -ปฏิกิริยา “ สู้ หรือ หนี แน่นิ่ง” (Fight – Flight – Freeze)
-กิน(food) กาม (sex)  กลัว (fear) หนี(flee) เป็นการใช้สัญชาตญาณแห่งการอยู่รอด Instinctive
ส่วนที่ 2. สมองส่วนกลาง(Midbrain) :สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม (Mammal)  “สมองสุนัข” “สมองหมา”
ส่วน Limbic System ระบบลิมบิก เกี่ยวข้องกับอารมณ์ แรงจูงใจ ความจํา
ส่วน-Amygdala กลัว โกรธ เศร้า กังวล ภัยคุกคาม อ่านสีหน้า ความจําฝังใจ
            โดยใน ระบบลิมบิก เพศหญิงมีสมองส่วนนี้ ทําหน้าที่ต่างจากชาย
ทั้งอารมณ์ รัก - ผูกพัน รู้สึกไว  อ่อนไหว  สื่อสาร  สัมพันธ์
ข้อเสีย : เพศหญิงมีโอกาสเป็นโรคซึมเศร้า ได้ง่ายกว่าชาย
ธรรมชาติ ของมนุษย์ ทั่วๆไปที่ไม่ได้รับการฝึกฝน จะใช้ สมองส่วนที่ 1 กับ ส่วนที่ 2 ก่อน
ฉะนั้น มนุษย์ จึงใช้อารมณ์มากกว่าเหตุผล
            เฉพาะผู้ที่ได้รับการฝึกฝนมาดีเท่านั้น จะสามารถดึงเอาสมองส่วนที่ 3 หรือ สมองมนุษย์ มาใช้ก่อน หรือมาใช้ควบคู่กับ สมอง หมา และสมองตะกวด
ส่วนที่ 3. สมองส่วนหน้า/เปลือกสมอง(Fore Brain /Prefrontal Neocortex) “สมองมนุษย์”
เจริญสูงสุดในHomo sapiens ( สายพันธุ์ มนุษย์)
= “The species that knows & knows that it knows.” เผ่าพันธุ์ที่รู้ว่า ตนเองรู้ หรือไม่รู้
รับรู้/ คิดเชิงนามธรรม  คิดรวบยอด (มโนทัศน์-Concept) เชาวน์ปัญญา การใช้เหตุผล
การวางแผน การแก้ปัญหา
รับรู้-เข้าใจความคิดของตนเอง (“อภิปัญญา”–MetacognitionThinking about thinking: How you think)
ศีลธรรม คุณธรรม)
สมองส่วนที่ 3 นี้ หากได้รับการฝึกฝนและพัฒนาเซลล์สมองจะสามารถงอกใหม่ได้ 
สมองส่วนหน้าตรงกลาง – หรือดวงตาที่สาม ทำหน้าที่ให้คนมีจิตสูง หรือมีความเป็นมนุษย์
            สมองส่วนนี้จึง อาจเรียกได้ว่าเป็นสมองมนุษย์
            ซึ่ง หากคนใด มีสิ่งกระทบ กับตนแล้ว ใช้สมอง สุนัข ตอบโต้ โต้ตอบทันที ด้วย อารมณ์ โดยไม่มีสติ ยั้งคิด ใช้เหตุผลมา คิดวิเคราะห์ จะเรียกว่า ใช้สมองเพียงแค่ระดับ สมอง หมา หรือ สมองสุนัข
            สมองมนุษย์ จึงต้อง มีสติ ยั้งคิด ใช้เหตุผลมา คิดวิเคราะห์ ตอบสนองตามเหตุปัจจัย โดยปราศจาก อคติ ที่สื่อออกมา ในรูปของการคิดดี พูดดี ทำดี ผู้นั้นจึงได้ชื่อว่า ใช้สมองมนุษย์
            (ตาม รูป ที่นำเสนอ)
ดวงตาที่สาม ทำหน้าที่ให้คนมีจิตสูง หรือมีความเป็นมนุษย์  ทำหน้าที่9 อย่างให้ คนเป็นมนุษย์
สมองส่วนหน้าตรงกลาง (ดวงตาที่3) : หน้าที่ 9 อย่าง
1. ควบคุมการทำงานของร่างกายให้สมดุล (Body regulation)
2. สื่อสาร-สื่อใจ : รับรู้จิตใจของผู้อื่น ปรับใจเข้าหากัน (Attuned communication)
3. เห็นอกเห็นใจผู้อื่น (Empathy / Mind sight) : รัก เมตตา
-Mirror neurons --Interception (ข้อ8)
4. ปรับอารมณ์(Emotional balance) : Chaotic vsRigid
5. ควบคุมความกลัว(Fear modulation) :- GABA release
6. ยั้งคิด (Response flexibility) :รับรู้ - ชะลอการตอบโต้ -ไตร่ตรองทางเลือก - ตอบสนอง(กระทำ)
7. รู้แจ้งในตน –รู้ตน(Insight / Self -knowing awareness)
8.หยั่งรู้(Intuition) - ตามทัน / จับความรู้สึกของอวัยวะภายใน
(Interoception by Insulaที่สมองกลีบข้างขมับ) : เจ็บปวด จุกแน่น ใจสั่น หายใจไม่อิ่ม
ควบคุมความรู้สึกนั้นๆให้ทุเลา เข้าใจความรู้สึก- เห็นอกเห็นใจผู้อื่น
9. ศีลธรรม (Morality) :  รู้ว่าอะไรดี - รู้ว่าอะไรไม่ดี รู้ว่าอะไรควร - รู้ว่าอะไรไม่ควร ด้วยตนเอง / แม้อยู่ตามลำพัง

สมองมนุษย์พัฒนาการเหนือสัตว์อื่นใดในโลก
สมองมนุษย์คิดเก่ง 30 –60เรื่อง / นาที  หรือประมาณ 60,000 เรื่อง / วัน
ส่วนมากแล้ว เกินกว่า 50% สมองมนุษย์จะคิดเชิงลบ: ไม่ชอบใจ ไม่พอใจ ไม่ถูกใจ
- คิดอดีต : เสียใจ เศร้าสร้อย จิตฟุบ /จิตตก
- คิดอนาคต : กลัว วิตกกังวล ลังเล สับสน ไม่แน่ใจ จิตฟ้ ง
เพราะว่า 
• การคิดลบเป็นไปเองตามธรรมชาติ ไม่ตั้งใจ
• การคิดบวกเกิดจากการฝึกฝน ตั้งใจ  ฉะนั้น  จงฝึกการใช้สมองส่วนหน้า ให้เจริญงอกงามขึ้นเรื่อยๆ ด้วยวิธีง่ายๆ ดังนี้ การพัฒนาสมอง/จิตใจ
• หมั่นบริหารกาย 5 วัน / สัปดาห์ Brain Derived Neurotrophic Factor (BDNF)
Neuroplasticity & Neurogenesis
• หมั่นบริหารจิต (เจริญสมาธิ สติ) ทุกที่ ทุกเวลา
• นอนหลับให้เพียงพอ 6 - 8 ชั่วโมง
• กินผัก ผลไม้ กินปลา (โอเมก้า- 3) เช่นปลาดุก ปลาช่อน บ้านเรา
• หมั่นเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ : สุ. จิ. ปุ. ลิ.
• หมั่นฝึกใช้สมอง
• คิดดี พูดดี ทําดี
• หลีกเลี่ยง ความเครียด บาดเจ็บศีรษะ อดนอน สุรา ยาสูบ สารเสพติด
หรือ หลัก 3 อ 2 ส. ที่เรารู้จักดีนั่นแหละครับ  ที่สำคัญที่สุด รู้ไว้ไม่มีประโยชน์ ถ้าไม่ทำ
สำหรับผมข้อ ที่ทำยากที่สุด มี 2 ข้อ หากทำได้ ข้ออื่นๆ ก็จะตามมาเอง
เริ่มต้นง่ายๆได้ด้วยเอง 2 ข้อนี้ก่อนครับ  คือ
ออกกำลังกาย 5 วัน / สัปดาห์
หมั่นบริหารจิต ( เจริญสมาธิ สติ) ทุกที่ ทุกเวลา เป็นต้น

วันอาทิตย์ที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2556

การคิดแบบหมวก 6 ใบ six thinking hats ของ Edward de Bono

เอดเวิร์ด เดอ โบโน
ได้ทำการคิดค้นเทคนิคการคิด ขึ้นมา เพื่อเป็นระบบความคิดที่มีประสิทธิภาพ โดยมีหลักในการจำแนกความคิดออกเป็น 6 ด้านที่เรียกว่า six thinking hats (หมวก 6 ใบ)ที่มุ่งเตือนใจให้คนคิดทีละด้านอย่างเป็นระบบ ไม่คิดกระโดดไปกระโดดมา หรือคิดพร้อมกันทุกอย่างในเวลาเดียวกัน ซึ่งทำให้สับสนใช้เวลานาน และสรุปไม่ได้ จนบางครั้งก็เกิดการโต้เถียงขัดแย้งกัน กล่าวแบบย่อๆของการคิดแบบหมวก 6 ใบก็คือ
หมวกสีขาว เป็นการคิดเกี่ยวกับข้อมูล ข้อเท็จจริงต่างๆที่ตรงไปตรงมาไม่แต่งเติม
หมวกสีแดงเป็นการคิดที่แสดงออกทางด้านอารมณ์ ความประทับใจ ความรู้สึก
หมวกสีเหลือง เป็นการคิดในทางบวก คิดถึงข้อดี จุดเด่น
หมวกสีดำ เป็นการคิดที่ค้นหาปัญหาอุปสรรค ข้อบกพร่อง
หมวกสีเขียว เป็นการคิดเชิงกลยุทธ์ คิดริเริ่ม สร้างสรรค์
และหมวกสีฟ้า เป็นการคิดเชิงระบบ คิดเชิงสรุป ซึ่งถ้าการคิดที่มีประสิทธิภาพจะต้องคิดให้ครบทั้ง 6 สี จะเริ่มสีใดก่อนหลังขึ้นอยู่กับสภาพบริบท

ทีนี้เราลองมานึกถึงภาพของคนที่ทะเลาะกัน จะเห็นว่าเขาต่างสวมหมวกกันแค่ 3 ใบ คือสีขาวซึ่งก็ยังเป็นสีขาวที่กะมอมกะแมม คือยังไม่พูดกันด้วยข้อเท็จจริงที่บริสุทธิ์ ยังแต่งเติมขึ้นมาเพื่อให้เกิดรสชาติ และสิ่งที่แต่งเติมขึ้นมาก็คือการมองหาจุดอ่อนของคนอื่น ด้วยการใส่อารมณ์ความรู้สึกของคนสวมหมวกสีแดงและสีดำ จะวนเวียนสวมหมวกแค่ 3 ใบ อย่างที่ว่า “โทษคนอื่นมองเห็นเท่าภูเขา โทษของเรามองเห็นเพียงเส้นขน...” แล้วจะไม่ทะเลาะกันได้อย่างไร ถ้าเขาเหล่านั้นมาสวมหมวกสีเหลือง สีเขียว และสีฟ้ากันด้วย ก็คงจะลงเอยด้วยดี การคุยกัน หรือบรรยากาศในการประชุม ในการจัดการเรียนการสอน ก็คงจะดีขึ้น และได้สาระ

เป็นเรื่องแปลกที่คนเราเวลาจะพูดอะไรก็มักจะเอาดีเข้าตัว โยนชั่วให้คนอื่น ยิ่งเป็นคนที่เป็นลูกน้อง หรือคนที่ตนเองขาดความเกรงใจก็จะใส่อารมณ์อย่างเข้มข้น เพื่อให้ได้ตามที่ตนเองต้องการ(วัฒนธรรมอำนาจ) โดยมักจะพูดกันที่ปลายเหตุ ที่ไม่มองอย่างรอบด้านว่า “พฤติกรรมย่อมมีสาเหตุ” ตามหลัก “อิทัปปตยตา” คนที่เขาไม่อยากโต้เถียงด้วย เขาก็อาจจะนิ่ง แต่เขาไม่ได้ยอมรับนะ ลองเอาแนวคิด “หมวก 6 ใบ” ไปใช้บ้างก็ดีนะ สังคมจะได้น่าอยู่มากขึ้น จากประสบการณ์ในการประชุม ในฐานะที่ผมเป็นสมาชิกในที่ประชุม ส่วนใหญ่ก็จะเป็นหมวกสีแดง และ สีดำ ครับ จึงทำให้ผลการประชุมออกมาแบบบาดเจ็บสาหัส small manได้ให้ความคิดเห็น ในฐานะผู้บริหารงานสาธารณสุข เคยนำการประชุมแบบหมวก 6 ใบ ไปใช้ครับ ใช้ในการประชุมเพื่อพิจารณาพัฒนางานของสาธารณสุขเรื่องหนึ่ง ผลปรากฏว่าได้ผลดีกว่าการประชุมแบบปกติครับ ขออนุญาตเล่าประสบการณ์ให้ฟังนิดหนึ่งครับ ขั้นตอนของการประชุมดังกล่าว ผมดำเนินการดังนี้ครับ
1. ชี้แจงให้คณะเจ้าหน้าที่ทุกคนมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับหมวก 6 ใบ
2. ผมในฐานะประธานในที่ประชุม สวมหมวกสีฟ้าครับ
3. ผมเริ่มประชุมด้วยหมวกสีขาว คือ ชี้แจงข้อมูลทั่วไปให้สมาชิกทุกคนเข้าใจให้ตรงกัน เพื่อเป็นพื้นฐานในการประชุม
4. หลังจากนั้นจึงให้สมาชิกแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับงานที่จะทำถึงข้อดีด้วยหมวกสีเหลือง
5. และข้อจำกัดด้วยหมวกสีดำ
6. แสดงความรู้สึกด้วยหมวกแดง
7. หาทางออกด้วยหมวกสีเขียว
8. ผมสรุปด้วยหมวกสีฟ้า
ดีมากครับ

การทำงาน pentaho

กำลังเริ่ม