วันนี้เป็นวันที่ไม่ได้เลิกงานตามเวลาปกติ เพราะต้องอยู่เวรต่อ เฮ้อ...แสนจะเหนื่อยจัง ผู้รับบริการในเวลาราชการเยอะ มาก ดูสิ Family folder กองใหญ่ เจ้าหน้าที่(ผู้อยู่)เวร ต้องลงข้อมูลให้เสร็จ เพราะพรุ่งนี้เช้าจะได้ไม่ยุ่ง วันนี้ถ้าไม่ยุ่งมากว่าจะเคลียร์งานเก่า ๆ เสียบ้างก็ดีนะ จะได้ไม่ค้างเยอะ เอาล่ะ มีคนมารับบริการ เป็นคนไข้นอกเขต และเป็นฝีก้อนโตที่คาง ก็เลยต้องผ่าฝีกันแหล่ะตอนนี้ ขณะที่กำลังผ่าฝีอยู่นั่นเอง นั้นรถยนต์กระบะตอนเดียวสีขาวกลางเก่ากลางใหม่ขับมาแบบเร่งรีบเสียงเบรก รถดังสนั่น จอดตรงหน้า ER พร้อมกับเสียงตะโกนเรียกขอความช่วยเหลือพูดขึ้นพร้อม ๆ กัน จับใจความได้ว่า “คุณหมอ คุณหมอ ช่วยหน่อย เร็ว ๆ เร็ว ๆ !!!!!.” ภาพของหญิงวัยกลางคนรูปร่างท้วม เสื้อผ้าแดงไปด้วยเลือด ในอ้อมแขนของเธอมีร่างอันไร้สติและอาบไปด้วยเลือดของเด็กผู้ชายวัยประมาณ 4 ขวบ สีหน้าและแววตาเต็มไปด้วยความหวังที่จะให้คนที่เขาเรียกว่า “หมอ” ช่วย ผ่าฝียังไม่เสร็จ “ขอโทษนะคะปิดแผลไว้ก่อนนะคะ เดี่ยวดูเด็กก่อนนะคะ” “คะ คะ คุณหมอรีบเลยคะ” คนไข้ผ่าฝี รีบลงจากเตียงออกจาก ER ไป “ตาย...ล่ะสิ อยู่คนเดียวเสียด้วย !!!!!” (รำพึงกับตัวเองในใจ) “วางเด็กบนเตียงตรงนี้ค่ะ ” ขณะที่หา ambu bag ต่อ ออกซิเจน ปากก็สั่งการ (call for help) ให้ญาติผู้ป่วยช่วย “น้าช่วยเดินตรงไปด้านในจะมีโทรศัพท์ ช่วยโทรบอกโรงพยาบาลขุนหาญทีค่ะ เบอร์ 045-679133 บอกว่ามีผู้ป่วยฉุกเฉินหยุดหายใจให้รีบมาช่วยที่อนามัยบ้านพรานด่วน!!!!!” ตรวจเบื้องต้นเด็ก no pule, no heart rate , pupil fix dilate ต้อง CPR เสียงวิพาก วิจารณ์ของญาติ ๆ อยู่นอก ER อื้ออึงฟังไม่ได้ศัพท์ ปนกับเสียงร้องไห้ของญาติ เราเปิดประตูออกไป เจอเด็กวัยรุ่นหญิงชาย 4 คน เลยเรียกเข้ามา “น้องเข้ามาช่วยกันหน่อยนะ” ให้ทุกคนสวมถุงมือ สอนน้องคนหนึ่งให้ บีบ ambu bag สอนอีกสองคน ให้ chest compress และให้อีกคนช่วยจับศีรษะและคอจัดท่าที่เหมาะสมถูกหลักวิธี “ต้องให้ ยาก่อน” adrenaline subcutaneous หน้าขาก่อน 1 dose แล้วเปิดเส้น ให้สารน้ำรอ แล้ว จึงให้ adrenaline IV ทุก ๆ 5 นาที ปากก็รียกญาติมาซักประวัติไปด้วยและให้การช่าวยเหลือไปด้วย ได้ความว่า เด็กประสพอุบัติเหตุถูกเหล็กอะไรสักอย่างตกลงมาทับ มีแผล ฉีกขาดที่ศีรษะ กระดูกที่ขาหัก ตอนนี้มีเลือด ไหลจากแผลมาเรื่อย ๆ ระหว่างที่ให้ญาติช่วย CPR และ บีบ ambu bag เรารีบปิดแผลห้ามเลือดก่อน ระหว่างที่ให้การพยาบาล ปากและสายตาก็สังเกตการทำงานของ ทีม CPR จำเป็น ว่าทำถูกหรือเปล่า และมีการแนะนำกันเป็นระยะ จนญาติผู้ป่วยที่ยืนร้องไห้ดูเหตุการณ์ข้าง ๆ ตัดพ้อเราว่า “ ถ้ารู้ว่าหมออยู่คนเดียว ไม่มาหรอก ไปโรงพยาบาลขุนหาญดีกว่า” (เขาคงไม่มั่นใจในการให้ความช่วยเหลือของเรา) (ทำอย่างไรได้ละ) เราก็เถียงออกไปทันทีว่า “ดีแล้วที่มา อย่างน้อยก็ได้ CPR ให้ยารอได้นี่นา” แต่เป็นการเถียงในใจหรอกนะ เขาไม่ได้ยินเราหรอก
จนทำทุกอย่างเสร็จ(หมายถึงเปิด IV ให้ยา) ก็มาสลับกับทีมผู้ช่วยจำเป็น ช่วยกัน CPR รอทีมโรงพยาบาลขุนหาญ เวลาผ่านไปแต่ละนาทีมันเต็มไปด้วยความหวัง และมันแสนจะทรมานเหลือเกิน เพราะผู้ป่วยของเรายังไม่มีการเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้นเลย เราก็หวังว่าหมอจะมา .......ผ่านไป 20 นาที เสียงไซเลนรถพยาบาลของโรงพยาบาลขุนหาญดังใกล้เข้ามา ใกล้เข้ามา และ ใกล้เข้ามา แล้ว ก็มาจอดอยู่หน้า ER เฮ้อ......... เหมือนเสียงสวรรค์ พอประตูรถเปิด น้องพยาบาลลงมา 2 – 3 คนกับพนักงานเปลและพนักงานขับรถ ว้า.......ไม่มีแพทย์มาด้วย แต่ไม่เป็นไร CPR ต่อบนรถ จากนั้นเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลและเราก็ช่วยกันย้าย ผู้ป่วยขึ้นรถ พร้อมส่งต่อรายละเอียดผู้ป่วยและการพยาบาลเบื้องต้นให้น้องพยาบาลฟัง และก็บอกน้องว่า พี่ไม่ไปด้วยนะคะ เพราะพี่อยู่อนามัยคนเดียว เราหันมาขอบคุณน้อง ๆ ทีม CPR จำเป็น ของเรา ว่า เยี่ยมมากค่ะ ถ้าไม่ได้น้อง ๆ ช่วย คงแย่ แน่ ๆ เลย ถ้ามีโอกาสวัหลังเข้ามาเรียนรู้กับพี่อีกได้นะคะ จะได้คล่อง เก็บประสบการณ์ชีวิต
คนไข้ไปแล้วก็รีบมาจัดการทำความสะอาดเตียง และเรียกผู้ป่วยที่ผ่าฝีค้างไว้ มาผ่าฝีกันต่อ จนจ่ายยาและตรวจผู้ป่วยต่ออีก 5 -6 คน แล้วมาเก็บเครื่องมืออุปกรณ์ที่ใช้ CPR อีกจนเรียบร้อย เฮ้อ ......ต้องมาเคลียร์ family folder ลงในโปรแกรมอีก เฮ้อ...ต้องนอนดึกอีกตามเคย พรุ่งนี้จะเล่าให้ใคร ๆ ฟัง ว่าเราอยู่เวรคนเดียวมันแย่จัง เราจะเสนอผู้อำนวยการให้จัดเจ้าหน้าที่ขึ้นปฏิบัติงานนอกเวลา 2 คน ดีไหม จะมีใครเห็นด้วย หรือคัดค้านบ้างหนอ.....? สองปีต่อมา ผู้อำนวยการก็มี นโยบายให้ขึ้นปฏิบัติงานนอกเวลาราชการเป็นสองคน คือมีเจ้าหน้าที่ 1 คน ผู้ช่วยเหลือคนไข้/คนงาน 1 คน ด้วยเหตุผลที่ว่า หลังจากเหตุการณ์วิกฤตในวันนั้น ก็มีเหตุการณ์ประมาณเดียวกัน เกิดขึ้นนอกเวลาราชการบ่อยขึ้น และบ่อยครั้งที่เจ้าหน้าที่เวรต้องปิด สำนักงานไว้แล้วออกไปรับผู้ป่วยข้างนอกสถานที่เพื่อไปส่งรพ.ขุนหาญ ซึ่งหมายความว่า ถ้ามีผู้ป่วยมารับบริการช่วงนั้นก็จะไม่เจอ หมอ(อนามัย) ถ้าขึ้นเวรสองคน เราก็จะมีเพื่อนขึ้นเวรแล้วสิ ดีใจจัง ไม่ต้องเสี่ยงสชะตาชีวิตคนเดียวอีกต่อไปแล้ว
จันทิมา อุดร
พยาบาลวิชาชีพชำนาญการ
โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลพราน
น้องเบ็ญ....สู้ๆ โดยหมอตึ่ง
เมื่อหลายปีก่อนเคยได้ยินหนังสือ ชื่อ ’’ผู้ชายมาจากดาวอังคาร ผู้หญิงมาจากดาวศุกร์’’ ทำให้ผมคิดเล่นๆว่า แล้วคนพิการล่ะ เกิดมาจากดาวดวงไหน ทำไมเวลาไปไหนมาไหนมักจะถูกมองด้วยสายตา ที่ไม่อาจจะคาดเดาได้ว่าคนที่มองนั้นกำลังคิดอะไรอยู่ เชื่อว่า...คนในยุคสมัยนี้ คงได้เห็นคนพิการนั่งรถเข็นตามสถานที่ต่างๆ กันจนจะกลายเป็นเรื่องปกติไปแล้ว แต่ผมยังจำได้ว่า เมื่อตอนที่ยังเป็นเด็ก ภาพคนพิการที่คุ้นตา คือ ’’ขอทาน’’ตามงานวัด ที่เป็นเด็กหัวโตๆตัวผอมๆ และมีแม่นั่งอยู่ข้างๆคอยพัดไล่แมลงที่บินมาไต่ตอมตามร่างกาย และก็ขอทานตามตลาด ในตอนนั้นยอมรับว่าไม่เคยได้สนใจว่า คนพิการเหล่านี้มีที่มาอย่างไร คิดว่าคงเป็นเพราะไปทำกรรมอะไรที่ไม่ดีไว้แต่ชาติปางก่อนเกิดมาชาตินี้เลยต้องกลายมาเป็นคนพิการ คำถามจากคนทั่วไป ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ทำให้ผมคิดเอาเองว่า สมัยนี้ยังน่าจะคงมีคนคิดเหมือนเราในตอนนั้นอยู่บ้าง เลยจะลองมาแบ่งปันประสบการณ์การทำงานในช่วง 4 ปีที่ผ่านมา
ผม..ทุนวิถี ทามาดาลย้ายมาจากโรงพยาบาลขุนหาญ ปี พ.ศ.2551 มาทำงานที่สถานีอนามัยบ้านพรานในสมัยนั้นยังไม่ได้เปลี่ยนชื่อเป็นโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลพราน มาทำงานในปีแรก ท่าน ผอ.วิชัยก็ยังไม่ได้มอบหมายงานที่ต้องรับผิดชอบให้ แต่ให้เรียนรู้งานใน รพ.สต.ก่อน พูดง่ายๆก็คือ ให้ช่วยงานคนอื่นไปพลางๆก่อนสัก 5-6 เดือน พอครบกำหนด ความรู้ในการทำงานใน รพสต.ของผมก็มีมากขึ้นกว่าแต่ก่อน ท่าน ผอ.รพ.สต.ก็ถามผมว่า อยากทำงานอะไรบ้างที่คิดว่าตนเองถนัด และก็ชอบด้วย ผมก็เลยบอกว่าอยากออกชุมชน อยากออกไปคุยกับชาวบ้าน ท่าน ผอ.บอกว่างั้นก็ดีเลยรับงานเยี่ยมบ้านผู้พิการไปเลย นับตั้งแต่วันที่รับงานมาผมก็ได้ออกติดตามเยี่ยมบ้านผู้พิการ ผู้สูงอายุ ผู้ป่วยเรื้อรัง กับทีม รพสต.พราน ทีม รพ.ขุนหาญ จนถึงทุกวันนี้ คิดว่าน่าจะจำชื่อผู้พิการ จำบ้านได้เกือบหมดว่าใคร เป็นอะไร ที่ไหน แต่ผมจะขอเล่าถึง คนพิการที่ผมไปเยี่ยมแล้วประทับใจมากที่สุดให้ฟัง
เมื่อวันที่ 7 มกราคม 2553 ผมได้ออกติดตามเยี่ยมบ้านผู้พิการเป็นครั้งแรก ร่วมกับคู่แฝดผมคือคุณอาทิตย์ ดุจจานุทัศน์ เราไปกันที่ หมู่ที่ 11 บ้านสุขสันต์ ท่านอาจจะสงสัยว่าทำไม ถึงไป หมู่ 11 บ้านพรานมีตั้งหลายหมู่ คำตอบก็คือ เรามีข้อมูลพื้นฐานเกี่ยวกับจำนวนผู้พิการว่า หมู่บ้านนี้มีผู้พิการมากที่สุด ไปเยี่ยมหมู่เดียวอาจจะถึงค่ำเลยก็ได้ ประมาณบ่าย 4 โมง หลังจากที่เราเยี่ยมบ้านคุณตาทุม คุณตายง และยายจันดา เสร็จเรียบร้อยแล้ว ขับรถออกมากำลังจะกลับ รพ.สต.เราก็มาพบเด็กผู้หญิงคนหนึ่ง รูปร่างท้วม ผิวคล้ำ นั่งอยู่บนรถโยกคันเก่าๆ ยางแบนทั้ง 2 ข้าง อยู่ริมถนน ผมก็เลยถามคุณอาทิตย์ว่า ใช่คนพิการหรือเปล่า รู้จักชื่อเขามั๊ย นี่ก็จะเลิกงานแล้ว จะลงไปเยี่ยมมั๊ย เอาอย่างไรดีล่ะไหนๆก็ไหนๆแล้ว ขับรถผ่านมาเจอแล้ว ลงไปเยี่ยมหน่อยก็ดีน่ะ ชื่อชองเธอ คือน้องเบ็ญ บ้านหนูไม่ได้อยู่ตรงนี้หรอก บ้านหนูอยู่ในซอยถัดไป สภาพบ้านไม่ใหญ่มาก พออยู่ได้ ฐานะทางบ้านปานกลาง อยู่ด้วยกันทั้งหมด 5 มีพี่สาว 1 คน เรียนจบชั้น ป.6 หลายปีแล้วไม่ได้เรียนต่อ มีน้องสาวอีก 1 คน อายุ 4 ปี ส่วนน้องเบ็ญ เป็นคนกลาง อายุ 11 ปี วันที่ไปเยี่ยม คุณพ่อ คุณแม่น้องเบ็ญไม่อยู่ ไปเลี้ยงวัว จากการสอบถามพี่สาว และ อสม.ได้รับคำตอบว่า น้องเบ็ญเรียนหนังสือถึงแค่ ป.2 เรียนไม่ได้มีปัญหาเรื่องการเข้าห้องน้ำ ควบคุมการปัสสาวะตัวเองไม่ได้ กลั้นปัสสาวะไม่อยู่ พิการมาแต่กำเนิดข้อเท้าทั้ง2 ข้างก็งุ้มงอไปทางด้านหลัง เดินไม่ได้ จะไปไหนไกลๆก็นั่งรถโยกไป ถ้าจะไปห้องน้ำ หรือไปอาบน้ำ(ห้องน้ำ ทีอาบน้ำอยู่นอกคัวบ้าน)ก็ใช้ข้อมือพยุง ยกตัวไถลไปเรื่อยๆ ตามพื้นดิน จนข้อเท้า ข้อเข่า เป็นแผลเน่ามีหนองไหล ติดเชื้อ แมลงวันตอม และที่สำคัญน้องเบ็ญไม่ค่อยอาบน้ำ และไม่เคยล้างแผลเลย ไม่เคยไป หาหมอที่รพ.สต.พราน ผมก็เลยถามเขาว่าทำไมไม่ไปหาหมอล่ะ ทำไมไม่อยากอาบน้ำ พี่สาวเขาบอกว่าขึ้นรถไปมันลำบาก พ่อแม่ก็ไม่ค่อยมีเวลามาดูแล ไปเลี้ยงวัวทุกวัน ส่วนเรื่องอาบน้ำน้องเบ็ญเป็นคนขี้เกียจไม่อยากอาบน้ำ พี่สาวบอกทุกวัน แต่เขาไม่ยอมทำตาม ทำยังไงล่ะทีนี้ ผมคุณ อาทิตย์ และอสม.ก็เลยช่วยกันแนะนำ ผลเสียที่จะเกิดขึ้นตามมา ถ้าไม่อาบน้ำน่ะ แผลมันจะกินลึกเข้าไปอีก ถ้าไม่หายรักษาไม่ได้ ก็ต้องตัดขาทิ้งเลย เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน ต้นเดือนหน้าผมกับคุณอาทิตย์จะมาเยี่ยมอีก จะมาล้างแผลให้ เอายาแก้อักเสบมาให้กิน และก็จะเอารถโยกไปซ่อมให้ด้วย แต่ น้องเบ็ญต้องสัญญานะว่า ต่อไปจะต้องอาบน้ำทุกวัน ชักผ้าที่เปื้อนเยี่ยวเอง ห้ามให้พี่สาวอาบน้ำให้ ห้ามให้พี่สาวชักผ้าให้ ต้นเดือนกุมภาพันธ์ เรากับมาเยี่ยมน้องเบ็ญอีกครั้ง โอ้...ไม่อยากเชื่อในสายตาตัวเอง เราเห็นน้องเบ็ญอาบน้ำเอง ผมก็เลยถามพี่สาวเขาว่า อาบน้ำแล้วเหรอ และก็อาบน้ำเองด้วย เพราะปกติ เห็นพี่สาวบอกว่า เล่นอยู่ลานบ้านทั้งวันไม่ชอบอาบน้ำ แล้วเวลาอาบน้ำทีก็ไม่อาบน้ำเองชอบให้พี่สาวอาบให้ ถามไปถามมาพี่สาวก็เลยเล่าให้ฟังว่า ตั้งแต่คุณหมอมาเยี่ยมครั้งนั้นเห็นสภาพ น้องเบ็ญ ตอนนั้นสกปรกมากตามแขนตามขาก็มีแต่ตุ่มหนองอักเสบ เป็นมาเกือบปีแล้ว หลังจากหมอตึ๋งหมอแขก(ทุนวิถี,อาทิตย์) มาเยี่ยม มาแนะนำในการปฏิบัติตัว และทำรถเข็นให้ใหม่ เขาก็เชื่อและปฏิบัติตามที่หมอแนะนำทุกอย่าง แผลก็เริ่มแห้ง เนื้อตัวสะอาดสะอ้าน หน้าตาสดใส ผิดกันเป็นคนละคนเลย
จนถึงวันนี้น้องเบ็ญ สุขภาพแข็งแรงดี อารมณ์แจ่มใส สะอาดสะอ้านแผลตุ่มหนองหายดีเกือบ 100 % เมื่อไหร่ที่เราออกเยี่ยมบ้านหมู่ 11 ราก็ยังไม่ลืมที่จะแวะเข้าไปเยี่ยมน้องเบ็ญเสมอ เพื่อติดตามอาการ การกั้นปัสสาวะไม่อยู่ที่ยังเป็นปัญหาอุปสรรคในการดำเนินชีวิตของน้องเบ็ญอีกนานว่า จะหายเมื่อไหร่.....
สิ่งที่ได้จากเรื่องเล่า
1.ผู้ป่วยสามารถดูแลตัวเองได้บ้างแต่ต้องมีคนคอยช่วยเหลือ หรือต้องอาศัยผู้อื่นในการดูแล
2ผู้ป่วยรูปร่างท้วม น้ำหนักเกินเกณฑ์
3.ผู้ป่วยเดินทางมารับบริการลำบาก ไม่มีญาติมาส่งที่ รพสต.
4. 5. สภาพสิ่งแวดล้อมในบ้านและรอบบ้าน ชื้นแฉะ สิ่งของเครื่องใช้ภายในบ้านวางไว้ไม่เป็นระเบียบ
4.พ่อ แม่ไม่มีเวลามาดูแล ต้องออกไปเลี้ยงวัวทุกวัน 7.ไม่มีการดูแลรักษาแผล ปล่อยไปตามสภาพ
5. 8.ผู้ป่วยไม่ค่อยอาบน้ำ
สรุปท้ายบท การเยี่ยมบ้านเป็นเครื่องมือที่สำคัญในงานเวชปฏิบัติครอบครัวและกลวิธีหนึ่งของการดูแลสุขภาพที่ บ้านหรือการดูแลอย่างต่อเนื่องให้กับผู้รับบริการตามบ้าน เพื่อส่งเสริม ป้องกัน ดูแลและแก้ไขความพิการ รวมทั้งทำหน้าที่อื่นในการส่งเสริมสุขภาวะของประชากรเป้าหมายทั้งที่เจ็บป่วยและไม่เจ็บป่วย ทำให้ได้รู้จักผู้ป่วยในบริบทสำคัญของผู้ป่วย เช่นความเป็นอยู่ของครอบครัว ความสัมพันธ์ระหว่างผู้ป่วยและครอบครัว สิ่งแวดล้อม สังคมและชุมชนของผู้ป่วย ทำให้บุคลากรสาธารณสุขได้รู้จัก เข้าใจผู้ป่วยและครอบครัวมากยิ่งขึ้น รวมถึงเกิดสัมพันธภาพที่ดีระหว่างบุคลากรทางการแพทย์ ซึ่งจะนำไปสู่ความร่วมมือในการแก้ไขปัญหาสุขภาพต่อไป
โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลพราน อ.ขุนหาญ จ.ศรีสะเกษ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น